หน้าเว็บ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำไมต่อเน็ตแล้วโทรเข้าไม่ได้ ?

gsm-gprs-edge ป็นคำถามที่หลายๆคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมใช้มือถือเล่นอินเตอร์เน็ต แล้วถึงโทรเข้าไม่ได้ เพราะบ่อยครั้งพบว่าเมื่อเลิกเล่นหรือไม่ได้โหลดข้อมูลใดๆแล้ว จึงจะมีข้อความแจ้งเตือนว่ามีสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่สามารถติดต่อคุณได้ (แต่อันนี้คุณต้องเปิดบริการเพิ่ม) เอ...แล้วอย่างนี้มันมีปัญหาที่เครือข่าย หรือที่เครื่องมือถือของเรากันแน่ไปหาคำตอบกันครับ

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ หากคุณยังไม่ได้ใช้บริการ 3G แล้วต้องการต่ออินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ จำเป็นจะต้องใช้บริการของ เทคโนโลยี GPRS/EDGE ในเครือข่าย GSM เพื่อจะทำให้เราสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตและรับส่งข้อมูล (data)ได้ ซึ่งรูปแบบการใช้งาน GPRS/EDGE ได้ถูกกำหนดขีดความสามารถมาแล้วในอุปกรณ์ที่รองรับรวมทั้งโทรศัพท์มือถือที่เราใช้งานกันอยู่

Class B

GPRS/EDGE Class มี 2 แบบ
  • แบบแรก กำหนดคลาสเป็นตัวอักษร บอกประเภทและขีดความสามารถในการให้บริการ มี Class A, Class B และ Class C
  • แบบสอง กำหนดคลาสเป็นตัวเลข บอกขีดความสามารถในด้านความเร็วในการรับส่งข้อมูล (Download, Upload) เช่น Class 10, Class 12, Class 32 เป็นต้น
ในบทความนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะแบบแรกก่อนนะครับ เพื่อหาคำตอบให้กับชื่อบทความหน่อย เพราะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเร็ว

อุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ GPRS/EDGE ถูกกำหนดเป็น 3 คลาสคือ
  1. Class A  สามารถใช้งาน GSM (Voice, SMS) และเชื่อมต่อ GPRS (data) พร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกันได้
  2. Class B สามารถใช้งาน GSM (Voice, SMS) และเชื่อมต่อ GPRS (data) ได้พร้อมๆ กัน แต่ใช้พร้อมกันไม่ได้ คือถ้าต่ออินเตอร์เน็ตแล้วกำลังโหลดข้อมูลอยู่ จะไม่สามารถโทรเข้าและรับข้อความ (SMS) ได้ แต่ถ้าต้องการโทรออกหรือส่งข้อความ GPRS ที่เชื่อมต่ออยู่จะหยุดรับส่งข้อมูลชั่วคราว หลังจากวางสายหรือส่งข้อความเรียบร้อยแล้ว ระบบจะทำการรับส่งข้อมูล GPRS ต่อโดยอัตโนมัติ   ยกเว้นว่าเชื่อมต่ออยู่แต่ไม่ได้มีการโหลดข้อมูลอะไร จะสามารถรับสายและข้อความได้ปกติ
  3. Class C ไม่สามารถใช้งานพร้อมกันได้ สามารถเลือกใช้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยต้องสลับกันทำงานระหว่าง GSM และ GPRS คือหากจะเล่นเน็ตก็ต้องวางสายก่อน เพราะในขณะใช้งาน GPRS จะไม่สามารถโทรเข้าโทรออก รับและส่งข้อความได้ ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ประเภท GPRS PCMCIA Card
สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะเป็น Class B ครับ เพราะเหตุนี้จึงได้คำตอบแล้วครับว่า ทำไมต่อเน็ตแล้วถึงโทรเข้าไม่ได้ เจออย่างนี้ก็เกิดคำถามต่อซิครับว่า แล้วทำไมถึงไม่ผลิต Class A มาใช้กันล่ะ อันนี้เป็นเหตุผลทางด้านการลงทุนและด้านเทคนิคครับ เพราะหากจะต้องผลิตอุปกรณ์ Class A เพื่อให้สามารถใช้งานได้พร้อมกันทั้ง GSM และ GPRS จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ภาครับส่งและความถี่เป็น 2 ชุด เพื่อทำหน้าที่แต่ละอย่าง ทำให้ไม่คุ้มต่อการลงทุน เพราะราคาเครื่องจะแพงมาก รวมถึงจะมีปัญหาการใช้งานแบตเตอรี่ตามมาด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะครับ คือมีแต่น้อยมาก

มาถึงปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายมาเป็น UMTS แล้ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับเครือข่าย GSM อยู่ เนื่องจากพื้นที่การให้บริการยังไม่ครอบคลุม ผู้ให้บริการเครือข่าย (Operator) จึงต้องปรับปรุงเครือข่ายให้สามารถรองรับ Feature และมาตรฐานใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เมื่อออกจากพื้นที่ให้บริการ 3G ก็ยังต้องใช้ EDGE/GPRS อยู่ EDGE+ ของ AIS จึงเป็นอีกขั้นของการปรับปรุงเครือข่าย GSM/EDGE เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของอุปกรณ์ Class B โดยการใช้เทคนิค Paging Coordinator และ Dual Transfer Mode (DTM)

Paging Coordinator เป็น Feature ที่ช่วยให้รับสายได้แม้ในขณะที่กำลังเชื่อมต่อ EDGE  โดย data จะหยุดวิ่งชั่วคราวในขณะที่รับสายและกลับมาใช้งานต่อได้หลังจากวางสาย สามารถใช้ได้กับมือถือทุกรุ่น

Dual Transfer Mode (DTM) เป็นมาตรฐานที่ 3GPP กำหนดมาเพื่อให้อุปกรณ์ทำงานแบบ Class A ได้ สามารถใช้งาน Voice และ Data ได้พร้อมกัน โดยใช้วงจรรับส่งเพียงชุดเดียว จึงเรียกกันว่า Pseudo-Class A หรือบางทีก็เรียกว่า Simplified Class A หรือคลาส A เทียมนั่นเอง ซึ่งการจะใช้งาน DTM ได้นั้น ระบบเครือข่ายและเครื่องลูกข่ายจะต้องรองรับด้วย

เอาไว้บทความต่อไปมาว่ากันเรื่องคลาสแบบที่สอง เกี่ยวกับความเร็วของ GPRS/EDGE กันครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...